บุหรี่ไฟฟ้า

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยสูบบุหรี่ไฟฟ้ามาก่อน ในครั้งแรกที่ซื้อหรือลองสูบมานั้น คุณมี วิธีเลือกบุหรี่ไฟฟ้า อย่างไร?

สำหรับ E-cigarettes หรือที่เรารู้จักกันในนามบุหรี่ไฟฟ้านั้น เป็นอุปกรณ์ที่เคยรู้นกันมา ว่าเป็นตัวช่วยในการเลิกบุหรี่จริง ซึ่งในประเทศอังกฤษ มีผู้เลิกสูบบุหรี่จริง ที่เป็นมวนๆ มากกว่า 2 ล้านคนแล้วในปัจจุบัน  ซึ่งถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่ยังติดบุหรี่อยู่ และต้องการทดลองว่าบุหรี่ไฟฟ้านั้นเหมาะกับตัวคุณหรือไม่? บทความนี้จะแสดงถึงวิธีเลือกซื้อบุหรี่ไฟฟ้าให้เหมาะที่สุดกับแต่ละคน

ทำความรู้จัก e-cig ก่อนเข้าใจ วิธีเลือกบุหรี่ไฟฟ้า

E-cigarette และ Vaper บุหรี่ไฟฟ้ามีหลักๆ กี่แบบกัน?

Vape คือการสูดไอระเหย ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามรูปแบบของตัวเครื่อง เช่นเป็นรูปแบบเหมือนกันกับตัวบุหรี่เลย, เป็นรูปร่างคล้ายปากกา, เป็นแบบ Pod systems (ใช้พอตในบุหรี่ไฟฟ้า), และ เป็นแบบ Box Mods ซึ่งแต่ละตัวเหมือนกันตรงที่เป็นลักษณะการสูบ แต่แตกต่างกันในเรื่องของระบบ อะไหล่ ระยะเวลาในการใช้งาน การบำรุงรักษา ฯลฯ

บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ Soul
บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ Soul ที่เป็นที่นิยมที่สุด โดยเฉพาะสาวๆ

 

บุหรี่ไฟฟ้าทุกตัวจะต้องมี atomizer หรือจุดที่ใช้เผาไหม้ โดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ที่ถูกฝังไว้ในตัวบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งตัว อะตอมไมเซอร์นี้ จะอยู่ใกล้กันกับน้ำยาที่เรียกว่า E-liquid และเมื่อน้ำยามาพบกับอะตอมไมเซอร์ จะเกิดการเผาไหม้ ซึ่งจะส่งตัว Aerosol ที่เห็นเป็นควันเข้าปาก และ ทำให้สูดลงปอดได้เหมือนกับบุหรี่จริง

ทั้งนี้ในบุหรี่ไฟฟ้าแต่ละตัว แต่ละยี่ห้อ ไม่ได้มีองค์ประกอบเพียงเท่านั้น แต่มีส่วนอื่นๆด้วยเช่น ตัวพอด ที่แตกต่างกันไปในเรื่องของกลิ่น สายชาร์จ เครื่องชาร์จไฟ คอยล์ หน้าจอแสดงผลในบางรุ่น และอื่นๆ โดยที่สามารถรวมกันเป็นกลุ่มประเภทของบุหรี่ไฟฟ้าตามด้านล่างนี้ เพื่อดูว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีกี่แบบ และ แบบไหน เหมาะกับนิสัยเรามากที่สุด?

4 รูปแบบของเครื่อง Vape สำหรับบุหรี่ไฟฟ้า

  • รูปร่างเหมือนกับบุหรี่จริง – ในรูปแบบนี้ ในปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยมแล้ว ซึ่งในสมัยก่อนจะเป็นแบยบใช้แล้วทิ้ง เพราะเป็นแบบระบบปิด (closed system) ที่ไม่สามารถเติมน้ำยาได้ ไม่ค่อยมีรสชาติ หรือ กลิ่นให้เลือกมากนัก (หากใครอยู่ในสมัยแรกๆ จะรู้ว่ามีแต่กลิ่นวนิลลาที่ขายดี)
  • Vape Pen – ลักษณะคล้ายกับปากกา มาพร้อมกับน้ำยา และเครื่องสามารถชาร์จไฟซ้ำได้ แต่จะต้องมีการเปลี่ยนตัว Atomize ค่อนข้างบ่อย และด้วยรูปทรงของมันที่เหมือนปากกา และเป็นแท่งคล้ายบุหรี่ ทำให้คนสูบได้ฟิลที่ดี โดยเฉพาะคนที่พึ่งเลิกสูบบุหรี่มาใหม่ๆ
  • Pod Systems – เป็นรูปแบบที่เป็นการแหวกแนวครั้งแรกของวงการบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งถูกนำเข้าจำหน่ายในตลาดบุหรี่ไฟฟ้า ในปี 2015 โดยบริษัท Pax Lab และหลังจากนั้นมี ยี่ห้ออื่นๆตามมา มากมาย จนหลายครั้งทำให้คนซื้อสับสนได้ สำหรับ พอตซิสเตม นี้ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งานครั้งแรก ซึ่งสามารถเปลี่ยน Pod ได้ โดยตัวพอดจะเป็นตัวเก็บน้ำยา และสามารถเติม (refill) หรือ ในบางยี่ห้อ เช่น Relx จะต้องมีการซื้อ Pod ใหม่ทุกครั้ง ข้อเสียของตัวนี้คือ หากซื้อมาตุนไว้จะต้องใช้เงินมาก แต่ข้อดีคือสามารถเปลี่ยนกลิ่นไปได้เรื่อยๆ ไม่ซ้ำ และตัวเครื่องไม่จำเป็นต้องบำรุงรักษามาก
  • Box Mods – เป็นรุ่นที่มีความ advance สุดแล้ว เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานมานาน และเป็น heavy smoker คือต้องการความแน่นของควันสูง เนื่องจาก ตัวนี้สามารถปรับอุณหภูมิที่คอยล์ได้ หากร้อนมากขึ้นก็จะสามารถทำควันได้มากขึ้น ตัวนี้ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่ เพราะอาจสำลักควัน และ อาจแรงเกินไปสำหรับการใช้งานระยะยาว

แล้วเครื่องแบบไหนเหมาะกับตัวเรา? วิธีเลือกบุหรี่ไฟฟ้า ตามความเหมาะสม

เปรียบเทียบบุหรี่ไฟฟ้า

ข้อมูล

เหมือนบุหรี่

แบบปากกา

แบบพอด

Box Mods

สูบทิ้ง

ความยากในการใช้งาน

เหมาะสำหรับมือใหม่ ใช้ได้ทุกคน ใช้ได้ทุกคน ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ ใช้ได้ทุกคน
ความหลากหลายของรสชาติ มีจำกัด ไม่จำกัด ไม่จำกัด ไม่จำกัด ไม่จำกัด
เติมน้ำยาได้มั้ย ไม่ได้ ได้ ได้ ได้ อาจได้บางรุ่น*
มีตัว ohm สำรอง ไม่ค่อยมี บางรุ่น บางรุ่น มีทุกตัว บางรุ่น
มีอะไหล่มั้ย? ไม่มี มักเป็นแบบใช้แล้วทิ้ง ต้องเปลี่ยนตัวคอยล์ เปลี่ยนพอดได้ ต้องเปลี่ยนตัวคอยล์ ไม่ต้องใช้อะไหล่ เพราะใช้แล้วทิ้ง
ความอึดของแบต ใช้ได้ไม่นาน ดี ดี ดีที่สุด ดี
ขนาดของเครื่อง เล็ก ปานกลาง เล็ก ใหญ่มาก เล็ก
วีธีการสูบ สูบได้เลยทันที สูบได้เลยทันที สูบได้เลยทันที ต้องกดปุ่ม สูบได้เลยทันที
ราคา หลักพันบาท หลักร้อยบาท หลักร้อยบาท หลายพันบาท

หลักร้อยบาท

จากตารางด้านบนนี้ จะเห็นได้ว่า บุหรี่ไฟฟ้าใช้แล้วทิ้ง น่าจะเป็นตัวเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่ และผู้ที่พึ่งเริ่มสูบ โดยที่ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการความแน่นมาก เนื่องจากหลายรุ่นไม่สามารถปรับความแรงได้  แต่สำหรับคนที่ชอบความแรง เป็นคนสูบบุหรี่จัดอยู่แล้ว เราขอแนะนำ ที่เป็นแบบ Box Mods ซึ่งเป็นหนึ่งในบุหรี่ไฟฟ้าที่ มีความแรงสูง อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ชอบความประหยัด ก็สามารถเลือกที่เป็นแบบ Pod System โดยการซื้อ Pod มาเปลี่ยนได้ เช่นเดียวกัน

การเลือกบุหรี่ไฟฟ้า ตามนิสัยการใช้งาน

อีกหนึ่งวิธีการเลือกซื้อบุหรี่ไฟฟ้า ตามเหตุผลอื่นๆ นั่นก็คือ ลักษณะนิสัยการใช้งาน และ เป็นคนชอบสูบขนาดไหน เรามาดูเหตุผลเหล่านี้กัน

สำหรับคนที่สูบเพื่ออยากเลิกบุหรี่

คนที่อยากเลิกสูบ เมื่อเทียบกับคนที่สูบเป็นครั้งคราวเวลาดื่มเหล้า ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว คนที่ต้องการจะสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกบุหรี่ ควรเริ่มที่บุหรี่ไฟฟ้ารุ่นที่เล็กๆ ไม่แรงมาก และใช้งานสะดวกง่าย โดยแนะนำให้ใช้รุ่นที่ เป็นแบบใช้แล้วทิ้ง หรือตัวที่สามารถเปลี่ยนหัว pods ได้ และ สำหรับผู้ อยากเลิกบุหรี่ ควรใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่มีความเสถียรของแบตเตอรี่สูง

อยากลองหลายๆรุ่น หลายๆ ยี่ห้อ

สำหรับคนที่ชอบลองรุ่นใหม่ๆ แปลกๆ หรือกลิ่นใหม่ๆ เช่น เมนทอล ผลไม้ กลิ่นยาสูบ กลิ่นขนมหวานๆ อาจต้องซื้อแบบใช้แล้วทิ้งหลายๆเครื่อง แต่หากจะให้เหมาะที่สุด ควรจะเป็นบุหรี่ไฟฟ้าแบบเปลี่ยนหัว pod ได้ โดย สามารถแยกออกมาดังนี้

  • ซื้อแบบเปลี่ยนหัวพอดแบบ refill ได้
  • หรือ ซื้อแบบที่เปลี่ยนหัวพอดเป็นกลิ่นต่างๆ รสชาติอื่นๆ ได้ แบบใช้พอดแล้วทิ้ง

ถ้าเป็นคนสูบจัด ชอบแน่นๆ แรงๆ

หากเป็นผู้ที่ชอบดึงหนักๆ แรงๆ ควันเยอะ จำเป็นจะต้องใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่มีความแรงของแบตเตอรี่สูง ซึ่งเหมาะกับ บุหรี่ไฟฟ้าแบบเปลี่ยนหัวได้ และสามารถเพิ่มความแรงได้ตามต้องการ (เช่น Voopoo) รวมถึง box mod ก็เป็นตัวเลือกที่ดีอีกตัวหนึ่ง โดยสามารถปรับความแรงตามที่ต้องการได้เช่นเดียวกัน

ชอบสูบเวลาไหนบ้าง?

ถ้าเป็นคนชอบสูบบุหรี่ในเวลาพักทำงาน ช่วงเวลาพักเที่ยง หรือ เฉพาะตอนกินเหล้า แนะนำบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่ต้องมีความแรงมาก เพราะสามารถสูบได้เรื่อยๆ ไม่ปวดหัว ไม่แสบปากจนเกินไป และหากเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลาชาร์จไฟที่ตัวเครื่องแล้วหล่ะก็ แนะนำ ให้ซื้อติดตัวไว้ซัก 2 ชุด ที่สามารถเปลี่ยนหัวได้ โดยหากไฟเริ่มหมดในตัวที่ใช้สูบอยู่ สามารถย้ายหัวพอดมาสูบอีกตัวแทนได้

เป็นคนชอบโมดิฟาย หรือชอบเล่นซนกับบุหรี่ไฟฟ้า

เรียกอยู่เฉยๆไม่เป็น มีเวลาว่างพอที่จะลองเล่น ปรับแต่งด้วยตัวเอง Box Mods หรือบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้สำลี มักเป็นตัวเลือกที่ดี แต่จะเหมาะสำหรับคนที่ดูดหนัก และ ต้องการความแน่น รวมถึงคนที่ใช้สูบมานานแล้ว จึงจะเหมาะกับประเภทนี้มากที่สุด

เลือกน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า หรือ กลิ่น อย่างไร?

บางคนเคยสูบบุหรี่มาก่อน หลากหลายยี่ห้อ เช่น L&M, Marlboro, Mild Seven, และอื่นๆอีกหลากหลายยี่ห้อ บางคนชอบเย็น บางคนไม่ชอบ คำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ก็คือ ไม่ควรเลือกน้ำยา หรือ กลิ่น ที่เป็นกลิ่นบุหรี่ (น้ำยา Salt nic บางตัว มีกลิ่น Tobacco หรือยาเส้นด้วย) เนื่องจากไม่ว่าจะลองกี่ยี่ห้อ ก็ไม่เคยได้ดั่งใจเสียที

การเลือกนั้น ควรทดลองซื้อ กลิ่นหรือรส ละ ขวด และควรเป็นขวดเล็กก่อน เพื่อให้รู้ว่า เราเหมาะกับกลิ่นไหนมากที่สุด และ เราเหมาะสำหรับดูดด้วยเหตุผลได้มากที่สุด

ซึ่งหากยังไม่มีไอเดียในการเลือก น้ำยา หรือ รสชาติ กลิ่น บุหรี่ไฟฟ้า ขอแนะนำให้ซื้อ แบบใช้แล้วทิ้งมาลองดูก่อน เพื่อสำหรับการทดลองระยะสั้น เพราะมีราคาไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น และบางตัว สามารถสูบได้มากถึง 2,500 – 5,000 ครั้ง ต่อ 1 อันเลยทีเดียว ทำให้สามารถสูบได้ในระยะยาว และถ้าหากซื้อมาแล้วไม่ชอบ ยังสามารถเปลี่ยนกลิ่นไปเป็นตัวอื่นๆได้ โดยไม่รู้สึกเสียดาย

ปกติแล้ว คนทั่วไป สูบบุหรี่ไฟฟ้า วันละกี่ครั้ง

จุดนี้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจเท่านั้น ซึ่งสำหรับตัวอย่างในการสูบ ในจำนวนกี่ครั้งต่อวัน จะใช้คำว่า puffs (คือจำนวนสูบแต่ละครั้งที่มีการดึงน้ำยาออกและสูบเข้าไปในปอด) สำหรับแบรนด์ relx ที่มี นิโคตินอยู่ที่ 1.8% จะเท่ากับ นิโคตินที่ 18mg ต่อน้ำยา 1ml  ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ จะอยู่บนบรรจุภัณฑ์ ของน้ำยา รวมถึง ตัวเครื่องที่เป็นแบบใช้แล้วทิ้งด้วย โดยที่ปกติ สามารถสูบได้มากถึง 300 ครั้งต่อวัน

แล้วจะได้ปริมาณ นิโคตินเท่าไหร่ ต่อการสูบ 1 ครั้ง?

จากสูตรการคำนวณ บอกไว้ว่า หากต้องการรู้ว่า ในหนึ่งคำ ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าไปนั้น เราจะได้ปริมาณนิโคตินเท่าไหร่? สามารถคำนวณแบบง่ายๆดังนี้

หากปริมาณนิโคตินในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ที่ 2.5% หรือ 25mg และสูบทั้งหมด 300 ครั้ง เราจะได้นิโคตินที่ 0.083 mg ต่อหนึ่งคำ

หากปริมาณนิโคตินอยู่ที่ 1.8% เท่ากับ 18mg และสูบทั้งหมด 300 ครั้งเท่ากัน จะได้นิโคตินที่ 0.06 ต่อการสูบหนึ่งคำ

เทียบปริมาณนิโคติน ระหว่างบุหรี่ไฟฟ้า กับ บุหรี่จริง

การสูบบุหรี่ 1 ตัว มีค่าเฉลี่ยนิโคตินที่ราวๆ 12mg การสูบหนึ่งตัว ร่างกายจะได้รับนิโคติน ราวๆ 1mg นั่นแปลว่า หากเราสูบ น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า 18mg และสูบวันละ 300 ครั้ง จะได้ นิโคตินที่ 0.06 mg X 300 ราวๆ 18 มิลลิกรัม ซึ่งปริมาณนิโคติน จะเท่ากับการสูบบุหรี่จริงประมาณ 18 ตัว นั่นเอง

ในการจำกัดการสูบ ไม่ให้เกินสิ่งที่เราเคยได้รับจากการสูบบุหรี่จริง เราไม่ควรวางบุหรี่ไฟฟ้าไว้ใกล้ตัว เนื่องจากสูบง่าย และ สูบได้ทุกที่ เพื่อไม่ให้ปริมาณ นิโคติน ในร่างกายเยอะจนเกินพอดี


โดยสรุป

ในบทความนี้ เป็นการแสดงวิธีการเลือกบุหรี่ไฟฟ้าให้เหมาะกับตัวบุคคลมากที่สุด ซึ่งแต่ละบุคคลก็มีความชอบที่แตกต่างกันออกไป แม้แต่การเลือกรูปแบบเครื่อง รูปแบบน้ำยา กลิ่น หรือราคา รวมถึง ปริมาณที่สูบในแต่ละวันด้วย โดยทุกอย่างไม่มีสูตรตายตัว และควรต้องลองหลากหลายยี่ห้อเพื่อให้ได้เจอในสิ่งที่ตัวเองต้องการมากที่สุดนั่นเอง