ข่าว

เราจะปฎิเสธความจริงไม่ได้เลย ที่ บุหรี่ไฟฟ้าแบบ พอตใช้แล้วทิ้ง กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูง ณ ปัจจุบัน ซึ่งเรียกได้ว่า แซงหน้าบุหรี่จริง และ บุหรี่ไฟฟ้ารุ่นเก่าๆ ซึ่งในเรื่องนี้ มีทั้งรายงานการเก็บสถิติ การใช้งานตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา รวมถึง การคาดการณ์ หลังจากนี้ไปจนถึงปี 2030 อีกด้วย

บุหรี่ไฟฟ้า มีมูลค่าการตลาดสูงถึง 22.45 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐในปี 2022

รู้หรือไม่ว่า บุหรี่ไฟฟ้า ทิ้งมีมูลค่ากาตลาดมากถึง 745,000 กว่าล้านบาท ตั้งแต่ปี 2022 ที่ผ่านมา โดยที่มีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตสูงถึง 30.6% ระหว่างปี 2023 – 2030 เลยทีเดียว โดยมีการคาดการณ์ไว้ว่า ตลาดของบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึง พอตใช้แล้วทิ้ง จะมีสูงถึง 66.72 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ ราวๆ 2.2 ล้านล้านบาท ในปี 2030 หรือ อีก 7 ปี นับจากนี้

ซึ่งหากจะนับยอดขาย และการใช้ยาสูบในประเทศไทย ประเทศของเรานั้น สูบบุหรี่เป็นอันดับที่ 14 ของโลก (ข้อมูลจาก Macrotrends.net) ซึ่งหากยอดขายบุหรี่ไฟฟ้าจะมีการเติบโตมากถึง 30.6% อาจสามารถคาดการณ์ได้ว่า ในจำนวนประชากรที่ สูบบุหรี่ทั้งหมด อาจโยกย้ายมาเป็นการใช้บุหรี่ไฟฟ้าประเภทต่างๆแทนได้

ซึ่งในเรื่องนี้ เราสามารถรวบรวมเหตุผลของการเติบโตการใช้งานบุหรี่ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ได้ถึง 5 ปัจจัย เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง?

5 ปัจจัยหลักที่ทำให้ พอตใช้แล้วทิ้ง (บุหรี่ไฟฟ้า) เติบโตอย่างรวดเร็ว

ใช้งานง่าย

เรื่องนี้ น่าจะเป็นอันดับหนึ่ง หากใครมองย้อนกลับไป ในวันที่สูบบุหรี่ครั้งแรก อาจมีอาการไอ แต่สำหรับบุหรี่ไฟฟ้า หรือพอตใช้แล้วทิ้งไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากความนุ่มของควัน และการใช้งานที่ง่ายไม่จำเป็นต้องจุดไฟ ทำให้มันง่ายต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก

บุหรี่ไฟฟ้าหลากหลายยี่ห้อ มีการพัฒนาความลื่นของควัน และ กลิ่น ทำให้จูงใจนักสูบหน้าใหม่และหน้าเก่า ที่สามารถซื้อมาใช้สูบได้เลยทันที

หาซื้อไม่ยาก และ ราคาถูกกว่าบุหรี่ทั่วไป

หากซื้อบุหรี่ยาสูบจริงๆ ณ ปัจจุบัน ราคาตลาดคาดว่าอยู่ที่ 100-200 บาท ขึ้นไป แม้ว่าจะมีบุหรี่เถื่อนวางขายกันเกลื่อนกลาด ที่เป็นข่าวอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เป็นประจำ ซึ่งในเรื่องนี้ ราคาของบุหรี่นอก ลักลอบนำเข้า กับ บุหรี่ที่ขายตามเซเว่นทั่วไป ยังคงมีราคาสูงกว่า บุหรี่ไฟฟ้า ที่จำหน่าย โดย หากให้เห็นภาพก็คือ บุหรี่ไฟฟ้าแบบ พอตใช้แล้วทิ้ง 5,000 คำ มีราคาแค่เพียงไม่ถึง 300 บาท และเทียบเท่า ปริมาณเท่ากับ บุหรี่จริง 7 ซองเลยทีเดียว ( 200 X 7 = 1,400 บาท )

ใช้งานได้ตามแบตเตอรี่ และน้ำยา ไม่จำเป็นต้อง ออกไปซื้อบ่อย 

เป็นเหตุผลที่คล้ายกันกับข้อที่แล้ว ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้ามีส่วนประกอบหลักเป็นแบตเตอรี่ ที่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง และ สามารถชาร์จไฟได้ ซึ่งหากเป็นคนสูบไม่จัด อาจใช้ได้ยาวหลายเดือนเลยทีเดียว เมื่อเทียบกันกับบุหรี่จริง ที่ไม่กี่วันก็หมดแล้ว

มีหลายกลิ่น ให้เลือก

หากเป็นคนสูบบุหรี่จริง จะรู้ว่า จะแตกต่างกันแค่กลิ่นของยาเส้นเท่านั้น และอาจมีเพิ่มเติมในเรื่องของความเย็น (Mint) เข้ามาเพียงเท่านั้น แต่สำหรับบุหรี่ไฟฟ้า แบบพอตใช้แล้วทิ้ง อาจมีให้เหลือหลายร้อยรสชาติ และ กลิ่น ซึ่งทำให้ยืนเหนือ บุหรี่ธรรมดา รวมถึง มันสามารถเข้าถึงตลาดวัยรุ่น ผู้หญิง ที่ไม่ชอบกลิ่นเหม็นได้อีกด้วย

ไม่มีกลิ่นติดตัว และเป็นมิตรกับปอดมากกว่า

สำหรับคนที่ไม่ชอบให้มีกลิ่นติดตัว บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มากที่สุด บุหรี่ไฟฟ้าเป็นควันแบบ Aerosol ที่ไม่ได้เกิดจากการเผาไหม้ ทำให้ไม่มีกลิ่นควันติด แม้แต่ที่นิ้ว หรือ เสื้อผ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของสุขภาพ ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าตอบโจทย์ได้มากกว่า (อ้างอิง fortune.com)

บทสรุป

สามารถบอกได้อย่างเต็มปาก จากสถิติที่ได้มาจากการเติบโตของตลาดบุหรี่ไฟฟ้า ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใดก็ตาม รวมถึง พอตใช้แล้วทิ้ง ก็เป็นหนึ่งในเทรนด์ ที่กำลังเกิดขึ้น และคาดว่าเข้ามาแทนตลาดบุหรี่ ตลาดยาสูบอย่างแน่นอน

อ่านต่อ: